รถสตาร์ทไม่ติดทำยังไงดี ต้องเช็คอะไรบ้าง

ข้อมูลสำหรับคนที่ขับรถยนต์ต้องทราบ เป็นความรู้เบื้องต้นที่จะช่วยให้แก้ปัญหาเบื้องต้นแล้วไปต่อเมื่อต้องอยู่ในที่ตามช่างได้ยาก ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ด้วยความห่วงใยอยากให้การเดินทางด้วยรถยนต์ราบรื่นไม่มีสะดุด ต้องรู้

รถสตาร์ทไม่ติด ต้องเช็คอะไรบ้าง

วิธีแก้ป้ญหา รถสตาร์ทไม่ติด ต้องเช็ค อะไรบ้างเมื่อรถสตาร์ทไม่ติด

  1. แบตเตอรี่
  2. มอเตอร์สตาร์ท
  3. ไดชาร์จ
  4. ปั๊มติ๊ก

1. แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่ส่งจ่ายไปตามเครื่องยนต์และอุปกรณ์เสริมในรถที่ใช้ไฟทุกประเภท เพราะพลังงานจากแบตเตอรี่ทำให้เครื่องยนต์ของเราสตาร์ทติดได้ และยังป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในรถอีกด้วย เช่น ระบบปรับอากาศ ไฟเลี้ยว ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟหน้า กระจกไฟฟ้า  เมื่อรถสตาร์ทไม่ติดให้เช็คจุดนี้ก่อนเลยว่ามีไฟพอหรือไม่ หรือว่าขั่วแบตไม่หลวมซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เบื้องต้นอาจจะลองพ่วงแบตดูก่อนได้

ถ้าแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้หมด

  • เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก เราจะรู้สึกว่าเครื่องยนต์จะหมุนเหมือนไม่ค่อยมีกำลัง หรือตอนสตาร์ทจะอืดๆ ก่อนจะสตาร์ทติดปกติ
  • ดับเครื่องแล้วสตาร์ทใหม่ทันที หรือทิ้งไว้สักครู่แล้วกลับมาสตาร์ทอีกครั้ง จะสตาร์ทติดยาก หรือไม่อาจจะมีอาการสตาร์ทติดยากในตอนเช้า
  • ต้องเติมน้ำกลั่นอยู่บ่อยๆ ในกรณีที่คนใช้ แบตเตอรี่ เปียก
  • การทำงานของกระจกไฟฟ้า หรือระบบล็อคประตูจะทำงานอืดกว่าปกติ
  • ระบบไฟหน้าไม่สว่างเหมือนเดิม
  • มีการพ่วง แบตเตอรี่ ชาร์จในบางครั้ง ในกรณีแบบนี้ ควรรีบเปลี่ยน แบตเตอรี่ รถยนต์โดยด่วน เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะลำบากแน่นอน ถ้าเกิดรถสตาร์ทไม่ติดกลางทาง

2.มอเตอร์สตาร์ท เสียมีอาการแบบไหน ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่ยังมีไฟอยู่ ก็สตาร์ทไม่ติด

อาการของ ไดสตาร์ท เสีย มีดังนี้

หมุนกุญแจ หรือกดปุ่มสตาร์ทแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น (เงียบ)
อาการนี้บ่งบอกได้เลยว่า ไดสตาร์ท ของคุณเสียซะแล้ว เตรียมเงินไว้ได้เลย ซึ่งหากสตาร์ทไม่ติดตอนที่อยู่ที่บ้านก็ถือว่าโชคดีมาก แต่ถ้าอยู่ข้างนอก หรืออยู่ระหว่างเดินทาง บิดหรือกดปุ่มสตาร์ทแล้วเงียบ สัก 2-3 ครั้ง ให้ตั้งสติก่อน จากนั้นค่อย บิดหรือกดปุ่มสตาร์ทแบบเร็วๆ ถ้าเครื่องยนต์ติดก็ถือว่าคุณโชคดีมาก แล้วไม่ควรจอดแวะที่ไหน นอกจากกลับบ้านอย่างเดียว (ต้องบอกก่อนว่าอาจจะได้ผลไม่ทุกคัน)


หลังจากสตาร์ทติด มีเสียงผิดปกติ เสียงครืดคราด
ถ้ามีอาการแบบนี้ ควรรีบไปตรวจสอบโดยด่วนว่า ไดสตาร์ท มีปัญหาหรือไม่

แปรงถ่านในตัวไดสตาร์ทอาจจะหมด หรือใกล้จะหมด
อย่างไรก็ตามถ้าใครที่เกิดเหตุการณ์ ไดสตาร์ท เสียหรือไม่ทำงาน คุณอาจจะต้องนำรถยนต์ของคุณเข้าศูนย์บริการรถยนต์หรืออู่ เพื่อให้ช่างที่ชำนาญได้ตรวจสอบ หรือแก้ไขซ่อมแซปัญหา ไดสตาร์ท ให้คุณได้ แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆ คุณก็สามารถแก้ไขปัญหากรณี ไดสตาร์ท เสีย ง่ายๆ ด้วยตัวเองได้

  1. ลองสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเร็วๆ อย่างที่บอกข้อนี้อาจจะไม่ได้ผลกับรถยนต์ทุกคัน
  2. หากเป็นเกียร์ธรรมดา ให้ใช้วิธีเข็น
  3. โดยใส่เกียร์ 1 ค้างไว้ เหยียบคลัตซ์ และบิดกุญแจไปตำแหน่งขวาสุด เพื่อให้ไฟหน้าปัดแสดง เมื่อเข็นจนได้ความเร็วพอสมควรแล้ว ให้ปล่อยคลัตซ์ จากนั้นเหยียบคันเร่ง หลังจากที่เครื่องยนต์ติดแล้วให้แตะเบรกไว้ จากนั้นก็ขับรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ทันที
  4. ใช้โลหะเคาะไปที่ไดสตาร์ท

หากรถยนต์เป็นเกียร์ออโต้หรือไปคนเดียวโดยไม่มีคนช่วยเข็น อาจะจำเป็นต้องใช้โลหะ เช่น แม่แรงหรือประแจถอดล้อ ฯลฯ เอามาเคาะหรืกะทุ้งไปที่ตัว ไดสตาร์ท อย่างเบาๆ สัก 3-4 ครั้ง ตรงตำแหน่งทรงกลมสีดำที่มีสติ๊กเกอร์สีบรอนซ์ติดอยู่ แล้วกลับไปสตาร์ทอีกครั้งหนึ่ง เพราะมันอาจจะแค่สกปรกก็ได้ จากนั้นเครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทแบบปกติ

3.ไดชาร์จ (Alternator) ทำหน้าที่เป็นตัวผลิตไฟฟ้า โดยอาศัยกำลังเครื่องยนต์ส่งกำลังจากพูลเลย์ (Pulley) ข้อเหวี่ยงผ่านสายพาน มาขับเคลื่อนให้ไดชาร์จหมุน เพื่อปั่นกระแสไฟออกมาใช้ในรถยนต์

ปกติแล้วเมื่อไดชาร์จเสีย จะมีสัญญาณส่งออกมาว่าไดชาร์จกำลังจะเสื่อมก็คือ ไฟในรถเริ่มอ่อนลง เช่น ไฟหน้าเริ่มหรี่ แอร์เริ่มเย็นน้อยลง บางทีจะมีอาการความร้อนขึ้นเพราะพัดลมไฟฟ้าหมุนไม่แรงพอ เครื่องเริ่มเร่งแย่ลง สังเกตง่ายๆ ถ้ารอบเดินเบามีอาการไฟเหี่ยว ต้องเร่งเครื่อง ไฟถึงจะชาร์จมากขึ้น มีอาการวูบๆ วาบๆ ก็ควรจะตรวจเช็กไดชาร์จและระบบไฟโดยรวมได้แล้ว

     ถ้าไดชาร์จไม่พอหรือเสีย ไม่ชาร์จเลย จะมีไฟรูปแบตเตอรี่ขึ้นที่หน้าปัด ถ้าโชว์ก็แสดงว่าเสื่อม ควรจะรีบนำรถเข้าเช็ก พยายามปิดอุปกรณ์กินไฟต่างๆ เช่น แอร์ เพื่อประหยัดไฟให้พอใช้ในการขับไปซ่อม

 4.ปั๊มติ๊ก เป็นระบบน้ำมันของเชื้อเพลิงใช้ตัดต่อกระแสไฟฟ้าเพื่อป้อนให้กับขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้แผ่นไดอะแฟรมขยับ ทำงานเชื่อมต่อเข้ากับชุดลิ้นปิด-เปิด จึงมีแรงดันและแรงดูด สูบ-จ่าย น้ำมันเชื้อเพลิง แต่เครื่องยนต์ปัจจุบันที่ใช้ระบบหัวฉีดมีความต้องการแรงดันที่สูงขึ้น จึงเปลี่ยนมาเป็นระบบปั๊มติ๊กไฟฟ้าโดยมีทั้งแบบ เรกกูเรเตอร์ (อยู่ในถังน้ำมัน) และแบบใช้  ECU เป็นตัวควบคุมแรงดันไฟฟ้ามี 40-50 psi

 อาการ “ปั๊มติ๊ก” เสื่อมสภาพ

  1. ไม่มีเสียงดัง ติ๊กๆ ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ (รถรุ่นเก่า)
  2. รถสตาร์ทไม่ติด (เช็กแบตเตอรี่เต็ม ไดร์สตาร์ทดัง ฟิวส์ไม่ขาด)
  3. สตาร์ทรถแล้วเครื่องยนต์กระตุก หรือเร่งไม่ขึ้น
  4. เครื่องยนต์สะดุด ขณะขับรถที่ความเร็วคงที่
  5.  รถติดแก๊ส สตาร์ทน้ำมันไม่ติด สตาร์ทแก๊สติด

     วิธีรักษา “ปั๊มติ๊ก” ไม่ให้เสื่อมเร็ว

  1. ไม่ปล่อยให้ไฟระบบแสดงน้ำมันแจ้งเตือนบ่อย
  2. เติมน้ำมันให้เกือบครึ่งถังอยู่เสมอ
  3.  รถติดแก๊ส หมั่นใช้ระบบน้ำมันบ่อยๆ

     หากรถคุณแสดงอาการดังที่กล่าวมาแนะนำว่าให้เข้าไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรืออู่ซ่อมได้มาตรฐาน

D-1SE ล้อแม็ก ford ranger 2022 ford ranger 2022 สีขาว ford ranger 2022 ใส่ล้อ honda M Speed Shop NEW MG4 ELECTRIC revo roccoยาง revo rocco ล้อแม็ก toyota กระบะ4ประตู กระบะตอนเดียว กระบะแต่ง กระบะแต่งซิ่ง นาวาร่า ยางrevo rocco ยางรถยนต์ ยางรถยนต์ รถกระบะ รถไฟฟ้า ราคายางรถยนต์ ร้านขายล้อแม็ก ร้านบุญยาง ร้านฟ้าเจริญยางยนต์ ร้านล้อแม็ก ลมยางรถยนต์ ลิขิตการยาง เชียงราย ล้อแม็ก ล้อแม็ก lenso ล้อแม็กrevo rocco ล้อแม็กSAMURAI ล้อแม็ก กระบะ ล้อแม็กขอบ15 ล้อแม็กขอบ16 ล้อแม็กขอบ18 ล้อแม็กขอบ20 ล้อแม็ก นำเข้า ล้อแม็กปลอม ล้อแม็กรถเก๋ง ล้อแม็ก รถเก๋ง ล้อแม็กแท้ วิธีดูล้อแท้ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เปลี่ยนล้อ แต่งนาวาร่า ใส่ล้อแม็กลายไหนดี


Posted

in

by