ในประเทศไทยมียางรถยนต์ออกมาจำหน่ายมากมายหลากหลายยี้ห้อ คุณภาพแตกต่างกันไป ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานตามประเภทรถยนต์ thaiwheel ขอเป็นส่วน1ที่จะแบ่งปันประสบการณ์การเลือกยางรถยนต์ และข้อมูลเกียวกับยางยี่ห้อต่าง
ยางรถยนต์ยี่ห้อไหนดีปี 2022
ทำความเข้าใจก่อนว่า การจะเลือกยางรถยนต์ที่เหมาะกับรถของคุณ ควรคำนึงถึงประเภทของรถเป็นหลัก เช่น City Car, SUV, รถสปอร์ต, รถกระบะ เป็นต้น จากนั้นให้คำนึงถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน สไตล์การขับขี่ ยี่ห้อ คุณภาพ การเกาะถนน ป้องกันการลื่นไถล ลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ และช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วย ส่วนจะมียางรถยนต์ยี่ห้อไหนดีปี 2022 กันบ้าง ไปดูกันเลย
A picture containing indoor, striped, leather, camera lens
Description automatically generated
Yokohama รุ่น BluEarth-GT AE51 เอาใจคนรักความเร็วและเน้นการเกาะถนนได้อย่างดี อีกทั้ง Yokohama ยังขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ ความทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน และโครงสร้างของยางที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อลดความเสียหายระหว่างการใช้งานได้อย่างดี ลายดอกยางไม่เสียรูปหรือสึกหรอง่าย เหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไปหรือคนที่ขับรถด้วยความเร็ว
Dunlop รุ่น SP Sport LM 705 ยางรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อดูดซับแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม ลายดอกยางช่วยลดการสั่นสะเทือนและกระจายน้ำหนักได้ดี เพิ่มความนุ่มนวล ลดเสียงรบกวน และช่วยประหยัดนำมัน ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยี “Shinobi” เฉพาะของแบรนด์จากญี่ปุ่น เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบความสปอร์ตแต่ยังคงความนุ่มนวลนั่งสบาย
- Michelin รุ่น Energy XM2+ ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยยางรถยนต์ที่ผลิตจาก Full Silica หรือเนื้อยางรูปแบบใหม่ ให้ความยืดหยุ่นสูงและยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการทดสอบแล้วว่า ช่วยให้ระยะเบรกสั้นกว่ายางทั่วไปถึง 1.5 เมตร และยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานกว่ายางทั่วไปประมาณ 25% เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดกลางและอีโคคาร์
- Pirelli รุ่น Scorpion Verde All Season ตอบโจทย์รถ SUV และ MPV ด้วยยางสัญชาติอิตาเลียน เหมาะสำหรับสายลุยที่เน้นการยึดเกาะถนนได้ดีทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง ทั้งยังช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้นบนพื้นผิวขรุขระ เนื้อยางได้รับการออกแบบให้ทนทานสูง น้ำหนักเบา ช่วยลดแรงต้านการหมุน และผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วย
- Goodyear รุ่น EfficientGrip Performance SUV ยางสำหรับรถ SUV ที่เน้นการยึดเกาะถนนได้ดี ช่วยลดแรงต้านการหมุน ช่วยให้ระยะเบรกสั้น ป้องกันล้อลื่นไถลบนถนนเปียก สามารถควบคุมการขับรถได้ง่ายขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี “QUIETTRED” ช่วยลดเสียงรบกวน ลดแรงกระแทก และลดแรงสั่นสะเทือนได้อย่างดี ให้ความรู้สึกนุ่มสบายเหมาะสำหรับการขับบนถนนเรียบ
- Bridgestone รุ่น Potenza Adrenalin RE400 เอาใจสายสปอร์ตที่เน้นความเร้าใจในการขับขี่ ด้วยยางรถยนต์ที่ออกแบบมาให้ยึดเกาะถนนและเข้าโค้งได้อย่างดี ร่องยางรูปตัว A ช่วยกระจายแรงกดได้อย่างสม่ำเสมอส่งผลให้เข้าโค้งและหยุดรถได้อย่างปลอดภัยทั้งบนถนนแห้งและถนนเปียก ทั้งยังช่วยให้ขับสนุก ตอบสนองฉับไว และควบคุมพวงมาลัยได้แม่นยำมากขึ้น เหมาะสำหรับรถยนต์ทุกรุ่นและรถสปอร์ต
A close-up of a tire
Description automatically generated with medium confidence
- Nexen รุ่น Roadian HP ยางรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบให้ยึดเกาะถนนทุกประเภท เน้นความทนทาน เข้าโค้งแม่นยำ ด้วยดอกยางกว้างและหน้ายางออกแบบเป็นรูปตัว V ช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้นและลดการลื่นไหลและการเหินน้ำบนถนนเปียกเพื่อความปลอดภัย พร้อมเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่และลดเสียงรบกวนได้อย่างดี เหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไปและรถกระบะ
- Bridgestone รุ่น Ecopia EP300 ยางรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยี “Nano Pro-Tech” ลิขสิทธิ์เฉพาะของบริดจ์สโตน ช่วยเพิ่มแรงต้านจากการหมุนของล้อ ลดการใช้พลังงานสิ้นเปลืองและช่วยประหยัดน้ำมัน ตอบสนองไวต่อการเบรก ระยะเบรกสั้น เกาะถนนดีแม้เข้าโค้งด้วยความเร็วช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น ดีไซน์ดอกยางช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดการบิดของดอกยางเมื่อเข้าโค้ง เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดกลางและขนาดเล็ก
- Deestone รุ่น Titan T88 เอาใจคนชอบบรรทุกของหนัก ด้วยยางรถยนต์สัญชาติไทยที่ได้รับการยอมรับด้านมาตรฐานในระดับสากล ผลิตจากเนื้อยางที่มีความแข็งแรง ทนทาน พร้อมลุยทุกสภาพถนนด้วยลายดอกยางแบบ 3 มิติ ช่วยให้กระจายน้ำหนักได้มากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ทรงตัวได้ดีเยี่ยม ลดการเหินน้ำบนถนนเปียก และลดเสียงรบกวนได้อย่างดี
- Continental รุ่น UltraContact UC6 ยางรถยนต์คุณภาพดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มรถยุโรป โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Aqua Drainage และ Aqua Channel ช่วยลดการเหินน้ำและรีดน้ำออกจากดอกยางได้อย่างดี ช่วยให้ควบคุมรถได้ดีบนถนนเปียกด้วยผิวยางสม่ำเสมอ เพื่อให้หน้ายางสัมผัสและยึดเกาะถนนได้มากที่สุด พร้อมเพิ่มความปลอดภัยด้วยโครงสร้างแบบ Diamond Blend Compound ที่ได้รับการออกแบบให้เหมือนเพชร ทำให้สัมผัสกับพื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เบรกทำงานได้ดี พร้อมทำหน้าที่เสมือนที่ปัดน้ำฝนบนถนนเปียกช่วยปัดน้ำออกจากดอกยางเพื่อการเบรกระยะสั้น ทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น ลดแรงกระแทก และเพิ่มความนุ่มนวลขณะขับขี่
- Lenso รุ่น Road&Terrain 07 ยางรถยนต์ ที่ นุ่ม เงียบ โดดเด่นด้วยลายคาโมเป็นยางที่สามารถรองรับได้กับทุกเส้นทางทั้งการขับขี่ทั้งออนโร๊ด และออฟโร๊ด ยางถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีความนุ่มเงียบ และการรีดน้ำที่ดีเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ขับขี่ รู้สึกมั่นใจ ปลอดภัย
ประเภทของ “ยางรถยนต์” และวิธีเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน
ยางรถยนต์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Highway Terrain, All Terrain และ Mud Terrain โดยจะแบ่งจากลักษณะของดอกยาง การใช้งาน และประเภทของรถ ซึ่งการเลือกยางที่เหมาะกับการใช้งานจะส่งผลต่อการขับรถ อายุการใช้งาน ความปลอดภัย และความสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย มาทำความรู้จักกับยางแต่ละประเภทกันดีกว่า
Highway Terrain (HT)
ยางรถยนต์ทั่วไปเหมาะสำหรับการขับบนถนนเรียบแบบที่ใช้ความเร็วได้ โดยดอกยางประเภทนี้จะมีขนาดเล็ก เรียบ และละเอียด เน้นให้ดอกยางสัมผัสกับพื้นถนนให้มากที่สุด มีคุณสมบัติในการรีดน้ำได้ดี น้ำหนักเบา เกาะถนนดี มีโครงสร้างของยางไม่ซับซ้อน ใช้กำลังเครื่องในการหมุนล้อน้อยกว่าประเภทอื่น ๆ จึงทำให้ใช้เชื้อเพลิงในการขับรถน้อยลง หรือช่วยให้ประหยัดน้ำมัน แต่ยางประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับการรองรับน้ำหนักในการบรรทุก
All Terrain (AT)
ยางที่นิยมใช้กับรถกระบะแบบ 4×4 ด้วยดอกยางที่มีขนาดใหญ่และหนาขึ้นกว่าแบบ HT เล็กน้อย ร่องยางจะมีความห่างจากกันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังเน้นให้ดอกยางมีการสัมผัสกับพื้นถนนได้ดี ยางประเภทนี้สามารถใช้งานได้ดีทั้งบนถนนทั่วไป และยังสามารถนำเอาไปใช้ลุยได้ในระดับหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเหมาะกับคนที่ชอบขับรถเที่ยวต่างจังหวัด อาจมีขับรถขึ้นเขาหรือลุยทางดินขรุขระบ้าง ไม่ใช่พวกออฟโรดเต็มที่ เน้นวิ่งทางลาดยาง และทางวิบากบ้างเป็นครั้งคราว
Mud Terrain (MT)
นี่คือยางของขาลุยอย่างแท้จริง! โครงสร้างยางแข็งแรงกว่า HT และ AT โดยดอกยางหนา ใหญ่ ร่องยางลึก และห่างกันมากที่สุด เพื่อเอาไว้ตะกุยดินและสลัดดินออกจากตัวยางโดยเฉพาะ เหมาะกับการขับขี่แบบออฟโรดเป็นอย่างยิ่ง ลุยโคลนได้สบาย ตะกุยดินดีเยี่ยม พูดง่าย ๆ คือสายเข้าป่าต้องใช้ยางประเภทนี้ แต่ไม่เหมาะกับวิ่งถนนปกตินัก เพราะยางจะไม่เกาะถนน ฉะนั้นเวลาวิ่งบนถนนควรขับช้า ๆ เพื่อให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ยิ่งสายลุยป่าหรือแอดเวนเจอร์…ลุยเลย!
อย่ามองข้าม “ตัวเลข” และ “ตัวอักษร” บนแก้มยาง
เคยสงสัยมั้ยครับว่า ตัวเลขและตัวอักษร (รหัส) บนแก้มยาง บ่งบอกอะไรกับเราบ้าง? จริง ๆ แล้วตัวเลขเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างมากในการเลือกยางรถให้เหมาะกับขนาดและประเภทของรถ โดยบริษัทผู้ผลิตยางจะระบุเป็นตัวอักษรไว้บนแก้มยาง ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง เช่น “225 / 50R17” สามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับยางรถยนต์ ดังนี้
รหัส “225” หมายถึง “หน้ากว้างของยาง” โดยวัดหน้าสัมผัสจากขวาไปซ้าย ยางจะต้องใส่กับล้อที่มีความกว้างตามกำหนดและสูบลมตามที่ระบุไว้ หน้ากว้างของยางมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของการยึดเกาะกับผิวถนน ควรเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนัก รวมถึงความกว้างของกระทะล้อหรือล้อแม็กซ์ที่เปลี่ยนใหม่ เพื่อทำให้การเปลี่ยนยางกับล้อมีความลงตัวกับกำลังของรถยนต์คันนั้น
รหัส “50” คือ อัตราส่วนความสูงของแก้มยาง ต่อความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็น % หรือ “Series” (50% ของ 225) โดยอัตราส่วนยิ่งต่ำแสดงว่ายางเส้นนั้นมีแก้มที่เตี้ยลง ส่งผลต่อความกระด้างและแรงสะเทือนต่อพื้นถนนขณะขับ
รหัส “R” คือ ตัวเลขที่แสดงน้ำหนักสูงสุดที่ยางแต่ละเส้นสามารถรับได้คือ “R” หมายถึง โครงสร้างยางแบบ “เรเดียล” ซึ่งปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
ยางธรรมดา (Bias หรือ Conventional Tire) ยางที่เน้นความนุ่มนวลขณะขับรถเป็นสำคัญ แต่อาจไม่ทนทานเท่าที่ควร
ยางเรเดียล (Radial Tire) ยางที่เน้นความทนทานอย่างมาก ช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ให้ความนุ่มนวลขณะขับรถน้อย
ยางเบลเตดไบแอส (Belted Bias Tire) เป็นยางที่อยู่กึ่งกลางระหว่างยางธรรมดาและยางเรเดียล ให้ความนุ่มนวลและความทนทานปานกลาง
A picture containing person, person
Description automatically generated
รหัส “98” คือดัชนีการรับน้ำหนักต่อยาง 1 เส้น (Load Index) เป็นค่าสูงสุดของการรับน้ำหนักที่ยางเส้นนั้นสามารถรองรับได้ โดยมีหน่วยเป็นกิโลกรัม โดย 98 มีค่าเท่ากับ 750 กิโลกรัม จึงสามารถรองรับน้ำหนักได้ประมาณ 750 x 4 = 3,000 กิโลกรัม หรือ 3 ตัน นั่นเอง
รหัส “17” คือเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ (มีหน่วยเป็นนิ้ว) ยางและล้อต้องมีค่าเท่ากันเสมอ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ “ขอบล้อ” เพื่อให้เลือกยางที่เหมาะกับรถ เช่น ขอบ 14, 15, 16 และ 17 นิ้ว เป็นต้น
วิธียืดอายุการใช้งานยางรถยนต์
นอกจากจะเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถแต่ละประเภท และสไตล์การขับรถในชีวิตประจำวัน การดูแลรักษายางรถยนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อยืดอายุการใช้งาน และช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นนั่นเอง
A picture containing person, device, hand, gauge
Description automatically generated
เติมลมยางให้อยู่ในอัตราเหมาะสม
แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมยางรถเก๋งจะอยู่ที่ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้าหากต้องบรรทุกน้ำหนักมาก เช่น กรณีที่มีผู้โดยสารเต็ม 5 ที่นั่ง หรือบรรทุกของด้านหลังจนเต็ม อาจเพิ่มปริมาณการเติมลมยางได้ถึง 33-35 PSI เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับรถกระบะนั้น จะค่อนข้างใช้ลมยางที่มากกว่ารถเก๋งโดยสารตามปกติ สำหรับล้อหน้าแรงดันยางจะอยู่ที่ประมาณ 36-38 PSI และล้อหลังที่ 40-42 PSI แต่ถ้าหากบรรทุกของเต็มท้ายรถ ก็สามารถเพิ่มปริมาณการเติมลมเพื่อรองรับน้ำหนักได้มากถึง 47-51 PSI เลยทีเดียว
- ตรวจเช็คลมยางทุกเดือน
โดยปกติแล้วแรงดันลมยางจะลดลงเฉลี่ย 2-3 PSI ใน 1 เดือน ฉะนั้นเจ้าของรถจึงควรตรวจสอบปริมาณของแรงดันลมยางประมาณเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าเอาชัวร์ ๆ ไปเลย แนะนำให้เช็คลมยางสัปดาห์ละครั้งเพื่อความ สบายใจทุกการเดินทางแน่นอนครับ
A picture containing person, car
Description automatically generated
- สลับยางรถยนต์ ช่วยถนอมยางกว่าที่คิด
“การสลับยาง” หมายถึงการเปลี่ยนยางไปอยู่ตำแหน่งอื่น ๆ แทนที่จะอยู่ตำแหน่งเดิม การสลับยางแต่ละครั้งจะทำให้เกิดการเสื่อมของดอกยางแบบสม่ำเสมอกัน การขับขี่บนถนนจะเป็นตัวบอกว่าคุณควรสลับยางบ่อยแค่ไหน? แนะนำให้สลับยางทุก 6 เดือน หรือเกือบ ๆ หมื่นกิโลเมตร
- ต้องมีการถ่วงล้อและตั้งศูนย์
“ตั้งศูนย์” คือการตั้งมุมต่าง ๆ ของล้อรถยนต์โดยเฉพาะล้อหน้า และในล้อหลังบางรุ่น ให้ถูกต้องตามค่าที่ผู้ผลิตกำหนดมาจากโรงงาน เพื่อประโยชน์ในการขับขี่ที่สมดุล-เกาะถนน เมื่อเราใช้รถมาเป็นเวลาหลายหมื่นกิโลเมตรต้องเจอกับสภาพถนนหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งการตกหลุมบ่อต่าง ๆ ย่อมบั่นทอนทำให้ ค่าของมุมล้อที่ถูกกำหนดมาจากโรงงาน ผิดเพี้ยนไปได้
“การถ่วงล้อ” คือการทำให้ล้อเกิดสมดุลในขณะหมุนโดยการใช้ตะกั่วถ่วงน้ำหนัก เพื่อป้องกันการสั่นขณะรถวิ่ง ฉะนั้นการตั้งศูนย์และถ่วงล้อก็จำเป็นนะเธอ นาน ๆ ตั้งสักทีก็ดีนะ
เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์?
ข้อนี้สำคัญมากครับ เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยบนท้องถนน และเป็นเรื่องที่หลายคนมักจะมองข้ามจนเกิดเหตุยางระเบิด ยางลื่นไถล รถไม่เกาะถนน เหินน้ำ เสียงดัง ยางรั่วซึมบ่อย และขับแล้วไม่นุ่มสบายเหมือนเคย เรามีวิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์
สภาพดอกยาง ดอกยางเรียบเนียนหรือยังหนอ? สังเกตง่าย ๆ ตอนใช้แรก ๆ จะเห็นลวดลายของดอกยาง แต่ถ้าดอกหายไปหมด ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วล่ะครับ เพราะมันจะส่งผลให้รถไม่เกาะถนน เหินน้ำ รถลื่นไถล ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
แก้มยางแตกหรือแยกส่วน แก้มยางปรินี่อันตรายมากนะครับ เพราะมันส่งผลให้ยางระเบิดได้เลย วิธีสังเกตว่า “แก้มยางปริ” คือเนื้อยางจะแยกแตกเหมือนผิวแห้งจัดตอนหน้าหนาวนั่นล่ะ ก็รอยแยกมันชัดซะขนาดนั้น ยังไงก็ดูออก
ยางบวม ลักษณะของยางบวมคือ มีบางจุดบวมขึ้นมาคล้ายคนหัวโน ยางบวมเกิดจากแรงกระแทกอย่างรุนแรง เช่น ขับรถขึ้นลูกระนาดด้วยความเร็ว ขับรถตกหลุมด้วยความเร็ว ยางกระแทกขอบถนน ขับรถบนนถนนขรุขระเป็นประจำ ฯลฯ ยางบวมจะส่งผลให้ยางระเบิดและเป็นอันตรายได้
ตำแหน่งรั่วของยาง รู้ครับว่ายางรั่วได้ก็ปะได้ แต่บางตำแหน่งของยางนั่งต่อให้ปะกี่รอบยางก็ยังรั่วบ่อยอยู่ดี เช่น ยางรั่วบริเวณตะเข็บยาง เป็นต้น ถ้าคุณปะยางบ่อยครั้งแนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์จะดีกว่า
อายุยาง อันนี้เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม บางคนใช้รถทุกวัน ยางก็สึกด้วยตัวมันเอง อายุของยางดูได้ที่ด้านข้างเช่นเดียวกับซีรี่ส์ยางนั่นล่ะครับ แนะนำว่า ให้เปลี่ยนยางทุก ๆ 5 ปี แม้คุณจะใช้รถน้อย ยางรถยนต์ยังดูใหม่มาก แต่เนื้อยางจะเสื่อมสภาพจนแข็ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเกาะถนนและการเบรก หรือยางระเบิดจนหลุดเป็นชิ้น ๆ ได้เลย
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับความรู้เรื่องยาง และอัพเดตยางรถยนต์รุ่นไหนดีปี 2022 ที่เรานำมาฝากกัน หวังว่าทุกท่านคงจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นนะครับ